WINE
หน้านี้จะรวมเรื่องของไวน์ การเสริฟ การใช้แก้ว การเก็บรักษา
ไวน์ (อังกฤษ: wine) เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทำจากองุ่นหรือผลไม้อื่นหมัก สมดุลเคมีธรรมชาติขององุ่นทำให้มันหมักโดยไม่ต้องเพิ่มน้ำตาล กรด เอ็นไซม์ น้ำหรือสารอาหารอื่น ยีสต์บริโภคน้ำตาลในองุ่นแล้วเปลี่ยนเป็นเอทนาอลและคาร์บอนไดออกไซด์ พันธุ์ขององุ่นและสายพันธุ์ของยีสต์ที่ต่างกันทำให้ได้ไวน์คนละแบบ แบบที่รู้จักกันดีเกิดจากอันตรกิริยาที่ซับซ้อนยิ่งระหว่างการเจริญทางชีวเคมีของผลไม้ ปฏิกิริยาที่เกี่ยวข้องในการหมัก แหล่งที่ปลูก (terrior) และการระบุแหล่ง (appellation) ตลอดจนการแทรกแซงของมนุษย์ในกระบวนการโดยรวม
ไวน์ (อังกฤษ: wine) เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทำจากองุ่นหรือผลไม้อื่นหมัก สมดุลเคมีธรรมชาติขององุ่นทำให้มันหมักโดยไม่ต้องเพิ่มน้ำตาล กรด เอ็นไซม์ น้ำหรือสารอาหารอื่น ยีสต์บริโภคน้ำตาลในองุ่นแล้วเปลี่ยนเป็นเอทนาอลและคาร์บอนไดออกไซด์ พันธุ์ขององุ่นและสายพันธุ์ของยีสต์ที่ต่างกันทำให้ได้ไวน์คนละแบบ แบบที่รู้จักกันดีเกิดจากอันตรกิริยาที่ซับซ้อนยิ่งระหว่างการเจริญทางชีวเคมีของผลไม้ ปฏิกิริยาที่เกี่ยวข้องในการหมัก แหล่งที่ปลูก (terrior) และการระบุแหล่ง (appellation) ตลอดจนการแทรกแซงของมนุษย์ในกระบวนการโดยรวม
ประวัติของไวน์
ภาพวาดเกี่ยวกับไวน์ Tacuina sanitatis คริสต์ศตวรรษ 14
เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าไวน์เป็นเครื่องดื่มที่มีมาหลายพันปีแล้ว มีการค้นพบโถโบราณบรรจุเมล็ดองุ่นไร่ซึ่งมีอายุนับเนื่องขึ้นไปกว่า 8,000 ปี ก่อนคริสตกาล
นอกจากที่ประเทศอิหร่านแล้ว ยังมีการพบร่องรอยของเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่ได้จากกรรมวิธีการหมักแบบเดียวกับไวน์ในสมัย 7,000 ปีก่อนคริสตกาล ทางตอนเหนือของประเทศจีน
ในยุคอียิปต์โบราณ การเพาะปลูกองุ่นเพื่อทำไวน์มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบระเบียบมาก เทพต่าง ๆ ในตำนานเทพปกรณัม ทั้งโอซิริสของอียิปต์ เทพไดโอนีซุสของกรีก บัคคัสของโรมัน หรือกิลกาเมชของบาบิโลน ล้วนแล้วแต่เป็นเทพแห่งไวน์ นอกจากนั้น ไวน์ยังเป็นสัญลักษณ์ของพระโลหิตของพระเยซูเจ้าตามความเชื่อทางศาสนาคริสต์ ไวน์มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเป็นอันมากในช่วงสองร้อยปีหลัง ชาวโรมันในสมัยก่อนนั้นดื่มไวน์ที่มีรสฉุนจนต้องผสมน้ำทะเลก่อนดื่ม รสชาติของไวน์ดังกล่าวแตกต่างจากไวน์ในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง
ในสมัยศตวรรษที่ 19 ไวน์ถือว่าเป็นเครื่องดื่มบำรุงกำลัง โดยคนงานที่รับจ้างเก็บเกี่ยวพืชผลจะดื่มไวน์ถึงวันละ 6-8 ลิตร และนายจ้างจะจ่ายไวน์ให้เป็นส่วนหนึ่งของค่าแรง เพราะสมัยนั้นน้ำยังไม่ค่อยสะอาดพอที่จะนำมาดื่มได้
เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าไวน์เป็นเครื่องดื่มที่มีมาหลายพันปีแล้ว มีการค้นพบโถโบราณบรรจุเมล็ดองุ่นไร่ซึ่งมีอายุนับเนื่องขึ้นไปกว่า 8,000 ปี ก่อนคริสตกาล
นอกจากที่ประเทศอิหร่านแล้ว ยังมีการพบร่องรอยของเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่ได้จากกรรมวิธีการหมักแบบเดียวกับไวน์ในสมัย 7,000 ปีก่อนคริสตกาล ทางตอนเหนือของประเทศจีน
ในยุคอียิปต์โบราณ การเพาะปลูกองุ่นเพื่อทำไวน์มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบระเบียบมาก เทพต่าง ๆ ในตำนานเทพปกรณัม ทั้งโอซิริสของอียิปต์ เทพไดโอนีซุสของกรีก บัคคัสของโรมัน หรือกิลกาเมชของบาบิโลน ล้วนแล้วแต่เป็นเทพแห่งไวน์ นอกจากนั้น ไวน์ยังเป็นสัญลักษณ์ของพระโลหิตของพระเยซูเจ้าตามความเชื่อทางศาสนาคริสต์ ไวน์มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเป็นอันมากในช่วงสองร้อยปีหลัง ชาวโรมันในสมัยก่อนนั้นดื่มไวน์ที่มีรสฉุนจนต้องผสมน้ำทะเลก่อนดื่ม รสชาติของไวน์ดังกล่าวแตกต่างจากไวน์ในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง
ในสมัยศตวรรษที่ 19 ไวน์ถือว่าเป็นเครื่องดื่มบำรุงกำลัง โดยคนงานที่รับจ้างเก็บเกี่ยวพืชผลจะดื่มไวน์ถึงวันละ 6-8 ลิตร และนายจ้างจะจ่ายไวน์ให้เป็นส่วนหนึ่งของค่าแรง เพราะสมัยนั้นน้ำยังไม่ค่อยสะอาดพอที่จะนำมาดื่มได้
ส่วนประกอบของไวน์
ส่วนประกอบส่วนใหญ่ของไวน์คือแอลกอฮอล์ที่ละลายในน้ำ และส่วนผสมทางเคมีอื่น ๆ อีกมากมายไม่ว่าจะเป็นสารระเหยและสารไม่ระเหย ทั้งสารละลายและสารแขวนลอย ปกติแล้ว ปริมาณของแอลกอฮอล์จะอยู่ระหว่าง 9-15 เปอร์เซ็นต์ต่อปริมาณน้ำ 85 เปอร์เซ็นต์
แอลกอฮอล์ในไวน์ส่วนใหญ่เป็นเอทิลแอลกอฮอล์ และยังพบตัวทำละลายประเภทกลีเซอรอล ซอร์บิทอล และบูตีแลนกลีคอลด้วย
นอกจากนั้น ไวน์ยังประกอบด้วย น้ำตาลชนิดต่าง ๆ ทั้งกลูโคส ฟรุคโตส ในปริมาณที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ 1-2 กรัมต่อลิตร ในดรายไวน์ที่หมักจนน้ำตาลกลายเป็นแอลกอฮอล์แล้ว จนถึง 50-60 กรัมต่อลิตร ในไวน์หวานที่กระบวนการหมักบ่มยังไม่สมบูรณ์
กรดต่าง ๆ ทั้งกรดมาลิก กรดซิตตริก กรดทาทาริก กรดน้ำส้ม กรดแลกติก กรดซัคซินิก
ส่วนผสมอื่น ๆ เช่น แทนนิน แอนโทซีอัน รงควัตถุ (pigment) ต่างๆ เช่น แอนโทไซยานิน
แอลกอฮอล์ในไวน์ส่วนใหญ่เป็นเอทิลแอลกอฮอล์ และยังพบตัวทำละลายประเภทกลีเซอรอล ซอร์บิทอล และบูตีแลนกลีคอลด้วย
นอกจากนั้น ไวน์ยังประกอบด้วย น้ำตาลชนิดต่าง ๆ ทั้งกลูโคส ฟรุคโตส ในปริมาณที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ 1-2 กรัมต่อลิตร ในดรายไวน์ที่หมักจนน้ำตาลกลายเป็นแอลกอฮอล์แล้ว จนถึง 50-60 กรัมต่อลิตร ในไวน์หวานที่กระบวนการหมักบ่มยังไม่สมบูรณ์
กรดต่าง ๆ ทั้งกรดมาลิก กรดซิตตริก กรดทาทาริก กรดน้ำส้ม กรดแลกติก กรดซัคซินิก
ส่วนผสมอื่น ๆ เช่น แทนนิน แอนโทซีอัน รงควัตถุ (pigment) ต่างๆ เช่น แอนโทไซยานิน
การแบ่งประเภทไวน์
องุ่นสำหรับทำไวน์
ไร่องุ่นในหลาย ๆ ประเทศจะแบ่งประเภทไวน์ตามพันธุ์ขององุ่นที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบ และในประเทศฝรั่งเศสมีการแบ่งประเภทไวน์ตามพื้นที่แหล่งผลิตหรือกรู (ฝรั่งเศส: cru) ผู้ผลิต และปีที่ผลิต
พันธุ์องุ่น (ฝรั่งเศส: Cépage / อังกฤษ: Cultivar)
พันธุ์องุ่นดำที่มีชื่อเสียงในการทำไวน์แดงหรือไวน์ชมพู ได้แก่
พันธุ์องุ่นหลักของเมืองบอร์โด (Bordeaux)
กาแบร์เน-โซวีญง (cabernet-sauvignon)
กาแบร์เน-ฟรอง (cabernet franc)
แมร์โลนัวร์ (merlot noir)
เปอตีแวร์โด (petit verdot)
โกตหรือมูร์แวด (cot or mourvede)
พันธุ์องุ่นหลักของแคว้นชองปาญ (Champagne)
ปีโนนัวร์ (pinot noir)
[ขาว] ปีโนเมอนีเย (pinot meunier)
[ขาว] ชาร์ดอเน (chardonnay)
พันธุ์องุ่นหลักของแคว้นบูร์กอญ (Bourgogne) [โบโชเล Beaujolais]
กาเมนัวร์ (gamay noir) หรือกาเมโฟรโอ (gamay freaux)
พันธุ์องุ่นหลักของแคว้นลองเกอด็อก-รูซียง (Languedoc Rousillon) [เวเดแอน: แวงดูนาตูแรล VDN: Vin Doux Naturel]
ซีรา (syrah)
เกรอนาช (grenache)
พันธุ์องุ่นหลักของรัฐแคลิฟอร์เนีย (California)
ซินฟันเดล (zinfandel) นำมาจากประเทศอิตาลี
พันธุ์ขาว องุ่นที่นิยมนำมาทำไวน์ขาวได้แก่
พันธุ์องุ่นหลักของเมืองบอร์โด (Bordeaux) [โซแตร์น, อ็องตร์-เดอ-แมร์, ลูปียัก Sauterne, Entre-deux-mer, Loupiac]
โซวีญงบล็อง (sauvignon blanc)
เซมียง (sémillon)
พันธุ์องุ่นหลักของแคว้นบูร์กอญ (Bourgogne) [ชาบลี, มาร์โซล Chablis, Marsault]
ชาร์ดอเน (chardonnay)
อาลีโกเต (aligoté)
พันธุ์องุ่นหลักของแคว้นเปอีเดอลาลัวร์ (Pays de la Loire) [วูเวร Vouvray]
เชอแนงบล็อง (chenin blanc)
พันธุ์องุ่นหลักของแคว้นอัลซาซ (Alsace)
เกเวือร์ซทรามีเนอร์ (gewürztraminer)
ปีโนกรี (pinot gris)
รีเอสลิง (riesling)
มุสกา (muscat)
ซีลวาเน (sylvaner)
อามีญ (amigne) (ในรัฐวาเล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์)
ซาวาแญง (savagnin)
พื้นที่
คำว่า "กรู" (ฝรั่งเศส: cru) หมายถึงไวน์เฉพาะถิ่นที่ผลิตในพื้นที่ซึ่งกำหนดไว้ โดยพื้นที่แต่ละแห่งจะมีลักษณะแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม สภาพพื้นดิน สภาพอากาศ ซึ่งทำให้องุ่นที่ปลูกในพื้นที่นั้นๆ ให้รสชาติและลักษณะไวน์ที่เป็นลักษณะเฉพาะและเป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้น ไวน์ของผู้ผลิตในประเทศต่าง ๆ (ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ ชิลี แคลิฟอร์เนีย - สหรัฐอเมริกา) สร้างความหลากหลายให้กับรสชาติไวน์ตามลักษณะของพื้นที่ผลิต (แสงแดด ความชื้น คุณภาพดิน)
ในฝรั่งเศส พื้นที่ผลิตมักจะสัมพันธุ์กับพันธุ์องุ่น โดยในพื้นที่หนึ่ง ๆ อาจจะปลูกองุ่นเพียงพันธุ์เดียว หรือหลายพันธุ์เป็นการเฉพาะ ตัวอย่างเช่น ไวน์มาดีรอง (ฝรั่งเศส: madiran) จากแถบเทือกเขาพีเรนีส จะทำจากองุ่นพันธุ์ตานา (ฝรั่งเศส: tannat) เท่านั้น
ผู้ผลิตจะตั้งชื่อไวน์ตามชื่อพื้นที่สำหรับไวน์บูร์กอญ (ฝรั่งเศส: Bourgogne) หรือเรียกในภาษาอังกฤษว่าเบอร์กันดี (อังกฤษ: Burgundy) ส่วนไวน์บอร์โด (ฝรั่งเศส: Bordeaux) ตั้งตามชื่อปราสาท (ฝรั่งเศส: châteaux - ชาโต)
แหล่งผลิตไวน์
พื้นที่ที่ใช้ในการเพาะองุ่นสำหรับหมักไวน์เนื่องจากดินที่ใช้ทำให้รสองุ่นต่างกัน ดังนั้น ไวน์ที่ผลิตในยุโรป (Old-world) เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี จะรสต่างจากไวน์ที่ผลิตในที่อื่นๆ (New-world) เช่น แอฟริกาใต้ ออสเตรเลีย แคลิฟอร์เนีย ชิลี เป็นต้น หากคุณต้องเลือก ไวน์จาก Old-world อาจจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าไวน์จากประเทศ New-world จะไม่อร่อยเพราะก็มีไวน์จากอเมริกาและออสเตรเลียที่ได้รับรางวัลมากมาย [1]
ไวน์ที่ผลิตในอเมริกา ให้มองหาไวน์จากออเรกอน (Oregon) หรือไร่นาปาในแคลิฟอร์เนีย (Napa Valley, California)
ไวน์ที่ผลิตในฝรั่งเศส ให้มองหาไวน์จาก Bordeaux, Burgundy, และ Champagne
ไวน์ที่ผลิตในอิตาลี ให้มองหาไวน์จาก Tuscany, Chianti
ไวน์ที่ผลิตในออสเตรเลีย ให้มองหา Shiraz
ปีที่ผลิต (ฝรั่งเศส: Millésime / อังกฤษ: Vintage)
ปีที่ผลิต คือ ปีที่มีการเก็บองุ่นซึ่งนำมาใช้ทำไวน์นั้น ๆ เป็นตัวบ่งบอกถึงลักษณะอากาศในปีต่าง ๆ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของคุณภาพไวน์ โดยปกติผู้ผลิตจะเขียนชื่อปีที่ผลิตไว้บนฉลาก กฎหมายของสหภาพยุโรปไม่ได้กำหนดให้แจ้งปีที่เก็บเกี่ยวองุ่นที่ใช้ทำไวน์แต่อย่างใด
ไร่องุ่นในหลาย ๆ ประเทศจะแบ่งประเภทไวน์ตามพันธุ์ขององุ่นที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบ และในประเทศฝรั่งเศสมีการแบ่งประเภทไวน์ตามพื้นที่แหล่งผลิตหรือกรู (ฝรั่งเศส: cru) ผู้ผลิต และปีที่ผลิต
พันธุ์องุ่น (ฝรั่งเศส: Cépage / อังกฤษ: Cultivar)
พันธุ์องุ่นดำที่มีชื่อเสียงในการทำไวน์แดงหรือไวน์ชมพู ได้แก่
พันธุ์องุ่นหลักของเมืองบอร์โด (Bordeaux)
กาแบร์เน-โซวีญง (cabernet-sauvignon)
กาแบร์เน-ฟรอง (cabernet franc)
แมร์โลนัวร์ (merlot noir)
เปอตีแวร์โด (petit verdot)
โกตหรือมูร์แวด (cot or mourvede)
พันธุ์องุ่นหลักของแคว้นชองปาญ (Champagne)
ปีโนนัวร์ (pinot noir)
[ขาว] ปีโนเมอนีเย (pinot meunier)
[ขาว] ชาร์ดอเน (chardonnay)
พันธุ์องุ่นหลักของแคว้นบูร์กอญ (Bourgogne) [โบโชเล Beaujolais]
กาเมนัวร์ (gamay noir) หรือกาเมโฟรโอ (gamay freaux)
พันธุ์องุ่นหลักของแคว้นลองเกอด็อก-รูซียง (Languedoc Rousillon) [เวเดแอน: แวงดูนาตูแรล VDN: Vin Doux Naturel]
ซีรา (syrah)
เกรอนาช (grenache)
พันธุ์องุ่นหลักของรัฐแคลิฟอร์เนีย (California)
ซินฟันเดล (zinfandel) นำมาจากประเทศอิตาลี
พันธุ์ขาว องุ่นที่นิยมนำมาทำไวน์ขาวได้แก่
พันธุ์องุ่นหลักของเมืองบอร์โด (Bordeaux) [โซแตร์น, อ็องตร์-เดอ-แมร์, ลูปียัก Sauterne, Entre-deux-mer, Loupiac]
โซวีญงบล็อง (sauvignon blanc)
เซมียง (sémillon)
พันธุ์องุ่นหลักของแคว้นบูร์กอญ (Bourgogne) [ชาบลี, มาร์โซล Chablis, Marsault]
ชาร์ดอเน (chardonnay)
อาลีโกเต (aligoté)
พันธุ์องุ่นหลักของแคว้นเปอีเดอลาลัวร์ (Pays de la Loire) [วูเวร Vouvray]
เชอแนงบล็อง (chenin blanc)
พันธุ์องุ่นหลักของแคว้นอัลซาซ (Alsace)
เกเวือร์ซทรามีเนอร์ (gewürztraminer)
ปีโนกรี (pinot gris)
รีเอสลิง (riesling)
มุสกา (muscat)
ซีลวาเน (sylvaner)
อามีญ (amigne) (ในรัฐวาเล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์)
ซาวาแญง (savagnin)
พื้นที่
คำว่า "กรู" (ฝรั่งเศส: cru) หมายถึงไวน์เฉพาะถิ่นที่ผลิตในพื้นที่ซึ่งกำหนดไว้ โดยพื้นที่แต่ละแห่งจะมีลักษณะแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม สภาพพื้นดิน สภาพอากาศ ซึ่งทำให้องุ่นที่ปลูกในพื้นที่นั้นๆ ให้รสชาติและลักษณะไวน์ที่เป็นลักษณะเฉพาะและเป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้น ไวน์ของผู้ผลิตในประเทศต่าง ๆ (ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ ชิลี แคลิฟอร์เนีย - สหรัฐอเมริกา) สร้างความหลากหลายให้กับรสชาติไวน์ตามลักษณะของพื้นที่ผลิต (แสงแดด ความชื้น คุณภาพดิน)
ในฝรั่งเศส พื้นที่ผลิตมักจะสัมพันธุ์กับพันธุ์องุ่น โดยในพื้นที่หนึ่ง ๆ อาจจะปลูกองุ่นเพียงพันธุ์เดียว หรือหลายพันธุ์เป็นการเฉพาะ ตัวอย่างเช่น ไวน์มาดีรอง (ฝรั่งเศส: madiran) จากแถบเทือกเขาพีเรนีส จะทำจากองุ่นพันธุ์ตานา (ฝรั่งเศส: tannat) เท่านั้น
ผู้ผลิตจะตั้งชื่อไวน์ตามชื่อพื้นที่สำหรับไวน์บูร์กอญ (ฝรั่งเศส: Bourgogne) หรือเรียกในภาษาอังกฤษว่าเบอร์กันดี (อังกฤษ: Burgundy) ส่วนไวน์บอร์โด (ฝรั่งเศส: Bordeaux) ตั้งตามชื่อปราสาท (ฝรั่งเศส: châteaux - ชาโต)
แหล่งผลิตไวน์
พื้นที่ที่ใช้ในการเพาะองุ่นสำหรับหมักไวน์เนื่องจากดินที่ใช้ทำให้รสองุ่นต่างกัน ดังนั้น ไวน์ที่ผลิตในยุโรป (Old-world) เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี จะรสต่างจากไวน์ที่ผลิตในที่อื่นๆ (New-world) เช่น แอฟริกาใต้ ออสเตรเลีย แคลิฟอร์เนีย ชิลี เป็นต้น หากคุณต้องเลือก ไวน์จาก Old-world อาจจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าไวน์จากประเทศ New-world จะไม่อร่อยเพราะก็มีไวน์จากอเมริกาและออสเตรเลียที่ได้รับรางวัลมากมาย [1]
ไวน์ที่ผลิตในอเมริกา ให้มองหาไวน์จากออเรกอน (Oregon) หรือไร่นาปาในแคลิฟอร์เนีย (Napa Valley, California)
ไวน์ที่ผลิตในฝรั่งเศส ให้มองหาไวน์จาก Bordeaux, Burgundy, และ Champagne
ไวน์ที่ผลิตในอิตาลี ให้มองหาไวน์จาก Tuscany, Chianti
ไวน์ที่ผลิตในออสเตรเลีย ให้มองหา Shiraz
ปีที่ผลิต (ฝรั่งเศส: Millésime / อังกฤษ: Vintage)
ปีที่ผลิต คือ ปีที่มีการเก็บองุ่นซึ่งนำมาใช้ทำไวน์นั้น ๆ เป็นตัวบ่งบอกถึงลักษณะอากาศในปีต่าง ๆ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของคุณภาพไวน์ โดยปกติผู้ผลิตจะเขียนชื่อปีที่ผลิตไว้บนฉลาก กฎหมายของสหภาพยุโรปไม่ได้กำหนดให้แจ้งปีที่เก็บเกี่ยวองุ่นที่ใช้ทำไวน์แต่อย่างใด
แก้วไวน์
แก้วไวน์ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนถ้วย (Bowl) ส่วนก้าน (Stem) และ ฐาน Foot) ของแก้วไวน์ การเลือกใช้แก้วไวน์ให้เหมาะกับชนิดของไวน์ที่เราเลือกดื่มนั้นสำคัญเนื่องจากลักษณะของแก้วไวน์แต่ละแบบมีผลต่อการรับรู้รสและกลิ่นของไวน์ ทั้งนี้เป็นเพราะรสชาติ กลิ่น และระดับแอลกอฮอลที่แตกต่างกันในไวน์ชนิดต่างๆ ถึงขนาดว่า หากคุณเลือกใช้แก้วไวน์ได้ถูกต้อง แก้วไวน์จะดึงลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นของไวน์นั้นๆได้เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นความหอม กลิ่นผลไม้ กลิ่นไม้โอ๊ค หรือรสชาติความหวาน ความฝาด และความกลมกล่อมของไวน์ มากไปกว่านั้นการออกแบบของแก้วไวน์แต่ละแบบจะเป็นตัวนำไวน์ไปสู่ส่วนต่างๆของลิ้นของคุณแตกต่างกันไปอีกด้วย
ชนิดของไวน์
ไวน์แดง
ไวน์แดง (อังกฤษ: red wine)
ตัวอย่างไวน์แดงที่ได้รับความนิยม
บาโรโล (Barolo) - อิตาลี
บรูเนลโลดีมอนตัลชีโน (Brunello di Montalcino) - อิตาลี
โบโชเล (Beaujolais) - ฝรั่งเศส
บอร์โด (Bordeaux) - ฝรั่งเศส
บูร์กอญ (Bourgogne) หรือบูร์กันดี (Burgundy) - ฝรั่งเศส
กาแบร์เนโซวีญง (Cabernet Sauvignon) - ฝรั่งเศส แคลิฟอร์เนีย ออสเตรเลีย มอลโดวา แอฟริกาใต้
การ์เมเนเร (Carmenere) - ชิลี
กีอันตี (Chianti) - อิตาลี
แมร์โล (Merlot) - ฝรั่งเศส แคลิฟอร์เนีย วอชิงตัน ชิลี แอฟริกาใต้
ปีโนนัวร์ (Pinot Noir) - ฝรั่งเศส แคลิฟอร์เนีย ออริกอน แอฟริกาใต้
พิโนเทจ (Pinotage) - แอฟริกาใต้
เรียวคา (Rioja) - สเปน
ซีรา/ชีรัซ (Syrah/Shiraz) - ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย แคลิฟอร์เนีย แอฟริกาใต้
วัลโปลีเชลลา (Valpolicella) - อิตาลี
ซินฟันเดล (Zinfandel) - แคลิฟอร์เนีย
คลิ๊กที่นี่เพื่อดูไวน์แดงทั้งหมดจากทั่วโลก พร้อมประวัติ และ Tasting note
ไวน์ขาว (White wine)
ผลิตจากองุ่นขาวหรือองุ่นแดงแต่เอาเฉพาะน้ำองุ่น แบ่งออกเป็นหลายชนิด
ไวน์ขาวอ่อน (Vin Blanc Tranquille or Doux)
ไวน์ขาวแห้ง (Vin Blanc Sec or Demi-sec)
ไวน์ขาวหวาน (VDN, Porto, Xeres)
ไวน์ขาวอัดก๊าซ (Champagne, Vouvrey)
ลิเกอร์จากองุ่นขาว (Cognac, Armagnac, Pineau)
ตัวอย่างไวน์ขาวที่ได้รับความนิยม
ชาร์ดอเน (Chardonnay) - ฝรั่งเศส แคลิฟอร์เนีย ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้
ชาบลี (Chablis) - ฝรั่งเศส
เชอแนงบล็อง (Chenin Blanc) - แอฟริกาใต้ ฝรั่งเศส
ฟรัสกาตี (Frascati) - อิตาลี
เกเวือร์ซทรามีเนอร์ (Gewürztraminer) - ฝรั่งเศส เยอรมนี แอฟริกาใต้
ลีบเฟรามิลค์ (Liebfraumilch) - เยอรมนี
ออร์วีเอโต (Orvieto) - อิตาลี
ปีโนกรี/ปีนอตกรีโจ (Pinot Gris/Pinot Grigio) - ฝรั่งเศส อิตาลี ออริกอน
ปุยยี-ฟุยเซ (Pouilly-Fuissé) - ฝรั่งเศส
รีสลิง (Riesling) – ฝรั่งเศส เยอรมนี
โซวีญงบล็อง (Sauvignon Blanc) - ฝรั่งเศส แคลิฟอร์เนีย นิวซีแลนด์ แอฟริกาใต้
เซมียง (Sémillon) - แอฟริกาใต้
โซอาเว (Soave) - อิตาลี
แวร์ดิกกีโอเดย์กัสเตลลีดีเจซี (Verdicchio dei castelli di Jesi) - อิตาลี
คลิ๊กที่นี่ เพื่อดูไวน์ขาว (White wine) ทั้งหมดจากทั่วโลก พร้อมประวัติและ Tasting note
สปาร์กลิงไวน์ (Sparkling wine)
เป็นไวน์ชนิดมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อัดอยู่
ตัวอย่างสปาร์กลิงไวน์ที่ได้รับความนิยม
อัสตีสปูมันเต (Asti spumante) - อิตาลี
กาบา (Cava) - สเปน
แชมเปญ/ชองปาญ (Champagne) - ฝรั่งเศส สปาร์กลิงไวน์ที่ผลิตขึ้นที่แคว้นนี้เท่านั้นจึงจะได้รับอนุญาตให้ใช้ชื่อว่า แชมเปญ
ฟรันชากอร์ตา (Franciacorta) - อิตาลี
โปรเซกโก (Prosecco) - อิตาลี
เซคท์ (Sekt) - เยอรมัน
สปาร์กลิงไวน์ (Sparkling wine) – แคลิฟอร์เนีย ออริกอน วอชิงตัน นิวเม็กซิโก
คลิ๊กที่นี่ เพื่อดูสปาร์คลิงไวน์ (Sparkling Wine) ทั้งหมดจากทั่วโลก
ไวน์สีกุหลาบ (rosé)
บูซุยโออาตซะเดโบโฮติน (Busuioacă de Bohotin) : โรมาเนีย
ลาเกรนโรซาโต (Lagrein Rosato) : อิตาลี
โรเซ (Rosé) : ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส โปรตุเกส แอฟริกาใต้ สเปน สหรัฐอเมริกา ตุรกี
ไวน์แดง (อังกฤษ: red wine)
ตัวอย่างไวน์แดงที่ได้รับความนิยม
บาโรโล (Barolo) - อิตาลี
บรูเนลโลดีมอนตัลชีโน (Brunello di Montalcino) - อิตาลี
โบโชเล (Beaujolais) - ฝรั่งเศส
บอร์โด (Bordeaux) - ฝรั่งเศส
บูร์กอญ (Bourgogne) หรือบูร์กันดี (Burgundy) - ฝรั่งเศส
กาแบร์เนโซวีญง (Cabernet Sauvignon) - ฝรั่งเศส แคลิฟอร์เนีย ออสเตรเลีย มอลโดวา แอฟริกาใต้
การ์เมเนเร (Carmenere) - ชิลี
กีอันตี (Chianti) - อิตาลี
แมร์โล (Merlot) - ฝรั่งเศส แคลิฟอร์เนีย วอชิงตัน ชิลี แอฟริกาใต้
ปีโนนัวร์ (Pinot Noir) - ฝรั่งเศส แคลิฟอร์เนีย ออริกอน แอฟริกาใต้
พิโนเทจ (Pinotage) - แอฟริกาใต้
เรียวคา (Rioja) - สเปน
ซีรา/ชีรัซ (Syrah/Shiraz) - ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย แคลิฟอร์เนีย แอฟริกาใต้
วัลโปลีเชลลา (Valpolicella) - อิตาลี
ซินฟันเดล (Zinfandel) - แคลิฟอร์เนีย
คลิ๊กที่นี่เพื่อดูไวน์แดงทั้งหมดจากทั่วโลก พร้อมประวัติ และ Tasting note
ไวน์ขาว (White wine)
ผลิตจากองุ่นขาวหรือองุ่นแดงแต่เอาเฉพาะน้ำองุ่น แบ่งออกเป็นหลายชนิด
ไวน์ขาวอ่อน (Vin Blanc Tranquille or Doux)
ไวน์ขาวแห้ง (Vin Blanc Sec or Demi-sec)
ไวน์ขาวหวาน (VDN, Porto, Xeres)
ไวน์ขาวอัดก๊าซ (Champagne, Vouvrey)
ลิเกอร์จากองุ่นขาว (Cognac, Armagnac, Pineau)
ตัวอย่างไวน์ขาวที่ได้รับความนิยม
ชาร์ดอเน (Chardonnay) - ฝรั่งเศส แคลิฟอร์เนีย ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้
ชาบลี (Chablis) - ฝรั่งเศส
เชอแนงบล็อง (Chenin Blanc) - แอฟริกาใต้ ฝรั่งเศส
ฟรัสกาตี (Frascati) - อิตาลี
เกเวือร์ซทรามีเนอร์ (Gewürztraminer) - ฝรั่งเศส เยอรมนี แอฟริกาใต้
ลีบเฟรามิลค์ (Liebfraumilch) - เยอรมนี
ออร์วีเอโต (Orvieto) - อิตาลี
ปีโนกรี/ปีนอตกรีโจ (Pinot Gris/Pinot Grigio) - ฝรั่งเศส อิตาลี ออริกอน
ปุยยี-ฟุยเซ (Pouilly-Fuissé) - ฝรั่งเศส
รีสลิง (Riesling) – ฝรั่งเศส เยอรมนี
โซวีญงบล็อง (Sauvignon Blanc) - ฝรั่งเศส แคลิฟอร์เนีย นิวซีแลนด์ แอฟริกาใต้
เซมียง (Sémillon) - แอฟริกาใต้
โซอาเว (Soave) - อิตาลี
แวร์ดิกกีโอเดย์กัสเตลลีดีเจซี (Verdicchio dei castelli di Jesi) - อิตาลี
คลิ๊กที่นี่ เพื่อดูไวน์ขาว (White wine) ทั้งหมดจากทั่วโลก พร้อมประวัติและ Tasting note
สปาร์กลิงไวน์ (Sparkling wine)
เป็นไวน์ชนิดมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อัดอยู่
ตัวอย่างสปาร์กลิงไวน์ที่ได้รับความนิยม
อัสตีสปูมันเต (Asti spumante) - อิตาลี
กาบา (Cava) - สเปน
แชมเปญ/ชองปาญ (Champagne) - ฝรั่งเศส สปาร์กลิงไวน์ที่ผลิตขึ้นที่แคว้นนี้เท่านั้นจึงจะได้รับอนุญาตให้ใช้ชื่อว่า แชมเปญ
ฟรันชากอร์ตา (Franciacorta) - อิตาลี
โปรเซกโก (Prosecco) - อิตาลี
เซคท์ (Sekt) - เยอรมัน
สปาร์กลิงไวน์ (Sparkling wine) – แคลิฟอร์เนีย ออริกอน วอชิงตัน นิวเม็กซิโก
คลิ๊กที่นี่ เพื่อดูสปาร์คลิงไวน์ (Sparkling Wine) ทั้งหมดจากทั่วโลก
ไวน์สีกุหลาบ (rosé)
บูซุยโออาตซะเดโบโฮติน (Busuioacă de Bohotin) : โรมาเนีย
ลาเกรนโรซาโต (Lagrein Rosato) : อิตาลี
โรเซ (Rosé) : ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส โปรตุเกส แอฟริกาใต้ สเปน สหรัฐอเมริกา ตุรกี
การเก็บรักษาไวน์
ไวน์จะเก็บได้นานกว่าถ้าเก็บไว้ในที่เย็นและควบคุมความชื้นได้ ตู้แช่ไวน์มีเครื่องควบคุมอุณหภูมิและมีพื้นที่มากมายให้คุณเก็บไวน์หลายๆ ขวดโดยวางในท่านอนภายในอุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะที่สุดสำหรับไวน์ ถ้าคุณวางแผนจะดื่มไวน์ภายใน 1-2 เดือนหลังซื้อ คุณสามารถแช่ไวน์ไว้ในตู้เย็น โดยวางขวดไวน์ให้ตั้งตรงและเก็บไว้ในบริเวณที่มีแสงน้อยที่สุด
การเสริฟไวน์
ตามธรรมเนียมแล้ว ไวน์รสเบากว่ามักจะเสิร์ฟก่อนไวน์ฟูลบอดี้ ไวน์ขาวเสิร์ฟก่อนไวน์แดง ไวน์อายุน้อยเสิร์ฟก่อนไวน์ที่เก็บมานานปี และไวน์ดรายเสิร์ฟก่อนไวน์หวาน เพราะน้ำเนื้อและคุณภาพของไวน์จะเพิ่มมากขึ้นในแต่ละครั้ง แต่ก็เหมือนกฏเกณฑ์อื่นๆ ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้โดยอาศัยคอมมอนเซ้นส์ ถ้าไวน์ธรรมดาเข้าคู่กันได้ดีกับปลา จะดื่มไวน์คุณภาพก่อนก็ไม่ผิดกฏแต่อย่างใด
ส่วนวิธีการแช่ไวน์ก่อนเสิร์ฟนั้น ให้ใส่ไวน์ลงในถังที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งและน้ำสัก 10 นาที ระวังอย่าเสิร์ฟไวน์ที่เย็นจัดจนเกินไป จะทำให้ไม่ได้รสชาติและกลิ่นของไวน์
อุณหภูมิในการเสิร์ฟไวน์
โดยทั่วไป ไวน์ขาวเสิร์ฟที่ความเย็น 8-12 องศาเซลเซียส เพื่อให้ได้รสและกลิ่นไวน์ที่ดีที่สุด
ไวน์ขาวรสเบา ดรายและกึ่งหวานอย่าง Vouvray (วูเวรย์) ควรเสิร์ฟที่อุณหภูมิ 6-9 องศาเซลเซียส
แชมเปญ Rosé (โรเซ่) Riesling ( รีสลิ้ง) และไวน์ขาวที่มีบอดี้อย่าง Chablis (ชาบลี) ควรเสิร์ฟที่อุณหภูมิ 8-11 องศาเซลเซียส
ไวน์ขาว Burgundies (เบอร์กันดี) และ Bordeaux (บอร์เดอ) ควรเสิร์ฟที่อุณหภูมิ 11-13 องศาเซลเซียส
ส่วนไวน์แดง ให้เสิร์ฟที่อุณหภูมิ 16-18 องศาเซลเซียส
ไวน์แดงรสเบาอย่าง Beaujolais (โบโชเลส์) ควรเสิร์ฟที่อุณหภูมิ 11-13 องศาเซลเซียส
ไวน์แดงอายุน้อยอย่าง Burgundies (เบอร์กันดี) Rhônes (โรห์น) และไวน์ Bordeaux (บอร์เดอ) อายุมาก ควรเสิร์ฟที่อุณหภูมิ 14-16 องศาเซลเซียส
ไวน์ Burgundies (เบอร์กันดี) อายุมากและไวน์แดงที่มีรสฝาด ควรเสิร์ฟที่อุณหภูมิ 16-18 องศาเซลเซียส
ส่วนวิธีการแช่ไวน์ก่อนเสิร์ฟนั้น ให้ใส่ไวน์ลงในถังที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งและน้ำสัก 10 นาที ระวังอย่าเสิร์ฟไวน์ที่เย็นจัดจนเกินไป จะทำให้ไม่ได้รสชาติและกลิ่นของไวน์
อุณหภูมิในการเสิร์ฟไวน์
โดยทั่วไป ไวน์ขาวเสิร์ฟที่ความเย็น 8-12 องศาเซลเซียส เพื่อให้ได้รสและกลิ่นไวน์ที่ดีที่สุด
ไวน์ขาวรสเบา ดรายและกึ่งหวานอย่าง Vouvray (วูเวรย์) ควรเสิร์ฟที่อุณหภูมิ 6-9 องศาเซลเซียส
แชมเปญ Rosé (โรเซ่) Riesling ( รีสลิ้ง) และไวน์ขาวที่มีบอดี้อย่าง Chablis (ชาบลี) ควรเสิร์ฟที่อุณหภูมิ 8-11 องศาเซลเซียส
ไวน์ขาว Burgundies (เบอร์กันดี) และ Bordeaux (บอร์เดอ) ควรเสิร์ฟที่อุณหภูมิ 11-13 องศาเซลเซียส
ส่วนไวน์แดง ให้เสิร์ฟที่อุณหภูมิ 16-18 องศาเซลเซียส
ไวน์แดงรสเบาอย่าง Beaujolais (โบโชเลส์) ควรเสิร์ฟที่อุณหภูมิ 11-13 องศาเซลเซียส
ไวน์แดงอายุน้อยอย่าง Burgundies (เบอร์กันดี) Rhônes (โรห์น) และไวน์ Bordeaux (บอร์เดอ) อายุมาก ควรเสิร์ฟที่อุณหภูมิ 14-16 องศาเซลเซียส
ไวน์ Burgundies (เบอร์กันดี) อายุมากและไวน์แดงที่มีรสฝาด ควรเสิร์ฟที่อุณหภูมิ 16-18 องศาเซลเซียส
ถ้าบทความนี้มีอะไรผิดพลาดก็บอกกันด้วยนะครับ ตอนนี้ยังไม่มีรูปมาลงให้ดู รอก่อนนะครับเดียวจะหามาให้ครับ